HOME

วันพุธที่ 16 มกราคม พ.ศ. 2556

Math Formulas

Math Formulas

01. Liquid Capacity
1 gallon = 4 quarts ( qt )
1 qt       = 2 pints ( pt )
1 pt       = 2 cups ( c )
1 c        = 8 fluid ounces ( fl oz )

02. Weight
16 ounces ( oz ) = 1 pound ( lb )
2,000 lb             = 1 ton ( t )

03. Mass
1,000 milligrams (mg) = 1 gram (g)
1,000 grams              = 1 kilogram (kg)
1,000 kilogram          =  1 ton (t)

04. Length
12 inches (in) = 1 foot (ft)
36 in.            = 1 yard (yd)
3 ft               = 1 yard
5,280 ft        = 1 mile (mi)
1,760 yd      =  1 mile (mi)

05. Circumference
C = (Pi)d  
C = 2(Pi)r

06. Area
Rectangle : A = lw
Trianglr   : A = (1/2)bh
Parallelogram : A = bh
Trapezoid : A = (1/2) (b1+b2)h
Circle : A = (Pi)r^2    




 

การสอบ SAT



SAT คืออะไร
SAT หรือ Scholastic Aptitude Test คือการสอบมาตรฐานที่ใช้วัดระดับความรู้ ความสามารถของนักศึกษา ที่ต้องการศึกษาต่อในระดับปริญญาตรีในประเทศสหรัฐอเมริกา และในปัจจุบัน หลักสูตรนานาชาติของมหาวิทยาลัยในประเทศไทยหลายแห่ง เช่น จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหิดล เป็นต้น ได้กำหนดให้ SAT เป็นทางเลือกหนึ่งในการยื่นสมัครเข้าศึกษาอีกด้วย

ลักษณะข้อสอบ
SAT มีข้อสอบ 2 ประเภท คือ SAT Reasoning (SAT I) และ SAT Subject (SAT II)

                 SAT Reasoning คือข้อสอบที่ใช้วัดทักษะที่นักเรียนในระดับที่จบมัธยมศึกษาตอนปลายควรจะมี ข้อสอบ SAT Reasoning แบ่งเป็นทั้งหมด 3 ส่วน ดังนี้
                1. Critical Reading Section: เป็นการทดสอบภาษาอังกฤษ ทางด้านการอ่านเชิงวิเคราะห์ มีทั้งหมด 3 Section
โดยที่ 2 Section ให้เวลาทำ Section ละ 25 นาที ส่วนอีก 1 Section ให้เวลาทำ 20 นาที)
               2. Quantitative Section: เป็นการทดสอบทางด้านคณิตศาสตร์ มีทั้งหมด 3 Section โดยโดยที่ 2 Section ให้เวลาทำ Section ละ 25 นาที ส่วนอีก 1 Section ให้เวลาทำ 20 นาที) การสอบใน Section นี้ จะมีทั้งส่วนที่ห้ามใช้เครื่องคิดเลข และส่วนที่สามารถใช้ได้
               3. Writing Section: เป็นการทดสอบภาษาอังกฤษทางด้านไวยกรณ์ การใช้ภาษา และคำศัพท์ โดยแบ่งออกเป็น 2 ส่วนย่อย คือ
               - ข้อสอบแบบ Multiple-choice ซึ่งมีเวลาให้ 35 นาที
               - ข้อสอบแบบ Short Essay ซึ่งมีเวลาให้ 25 นาที

               SAT Subject คือข้อสอบที่ออกแบบเพื่อวัดทักษา ความรู้ ความสามารถในการนำความรู้ไปประยุกต์ใช้ในรายวิชาต่างๆ แบ่งออกเป็น 5 กลุ่ม ดังนี้
- ภาษาอังกฤษ (English)
- ประวัติศาสตร์ (History)
- คณิตศาสตร์ (Mathematics)
- วิทยาศาสตร์ (Science)
- ภาษาต่างประเทศ (Languages)
**ผู้สอบจะสอบ SAT Subject หรือไม่นั้น ขึ้นอยู่กับ ข้อกำหนดของแต่ละหลักสูตรในมหาวิทยาลัยต่างๆ**

ระดับคะแนน SAT
            1. Critical Reading Section มีคะแนนตั้งแต่ 200-800 คะแนน
            2. Quantitative Section มีคะแนนตั้งแต่ 200-800 คะแนน

2. Writing Section:

- ส่วนของ Multiple-choice มีคะแนนตั้งแต่ 200-800 คะแนน

- ส่วนของ Short Essay มีคะแนนตั้งแต่ 1-6 คะแนน

คะแนนของ SAT จะถูกหัก ? คะแนน หากผู้สอบตอบผิดในแต่ละข้อ ของข้อสอบ multiple –choice
แต่ละสถาบันมักจะกำหนดคะแนน SAT ที่แตกต่างกันไป ทั้งคะแนนรวม และคะแนนในแต่ละ Section ดังนั้น ผู้สอบจึงควรศึกษาก่อนว่า หลักสูตรที่จะเข้าเรียนนั้นกำหนดคะแนน SAT ไว้เท่าไหร่**

การสมัครสอบ SAT
               ปัจจุบันผู้สอบสามารถสมัครสอบ SAT ได้ใน website ของ Collegeboard  http://www.collegeboard.com/ เป็นการสมัครแบบ online ซึ่งผู้สอบจะต้องสมัครเป็นสมาชิกของ Collegeboard ก่อน นอกจากนี้ ผู้สอบยังสามารถตรวจสอบสถานที่สอบ วันเวลาในการสอบ และที่นั่งในการสอบที่ยังว่างอยู่ได้อีกด้วย

เชียงใหม่
- Prem Tinsulanonda
- Chiang Mai Intl School

ชลบุรี
- Bangkok Intl School E Seaboard

ภูเก็ต
- Phuket British Intl School

ค่าใช้จ่าย ในการสอบ SAT
              45 US Dollar สำหรับ SAT Reasoning และเพิ่มอีก 9 Dollar สำหรับแต่ละวิชาที่สอบเพิ่มเติมนอกเหนือจากวิชาพื้นฐาน


หน่วยงานรับผิดชอบ ค่าสอบและสถานที่สอบ SAT

             การสมัครสอบ SAT สามารถทำผ่านทางเว็บไซด์ของ College Board ซึ่งเป็นองค์กรที่รับผิดชอบ
การสอบ SAT 

ผู้สอบต้องชำระค่าสมัครสอบด้วยบัตรเครดิตหรือเดบิตเป็นจำนวนเงิน $81 ส่วนค่าใช้จ่ายอื่นๆมีดังนี้

(1) กรณีที่มีการลงทะเบียนสมัครสอบล่าช้า ผู้สอบจะต้องชำระค่าธรรมเนียมเพิ่มอีก $27
(2) ผู้สมัครสอบในประเทศไทยไม่สามารถขอเลื่อน เปลี่ยนแปลงรอบสอบหรือ Standby ในวันสอบได้
(3) ผู้สมัครสอบไม่สามารถยกเลิกการสอบและจะไม่มีการคืนเงินแก่ผู้สมัครสอบ
(4) หากผู้สมัครสอบต้องการได้รับกระดาษข้อสอบและคำตอบของการสอบในรอบที่ตนเองสอบ
      ผู้สอบสามารถลงทะเบียนขอรับกระดาษคำตอบพร้อมทั้งข้อสอบและเฉลยได้ภายหลังจากวันสอบ
     ไม่เกิน 6 สัปดาห์โดยเสียค่าธรรมเนียมเพิ่ม $18

ศูนย์สอบ SAT ในประเทศไทยมีทั้งกรุงเทพมหานครและส่วนภูมิภาค ดังต่อไปนี้

 ศูนย์สอบในเขตกรุงเทพมหานครและปริมณฑล
      1. Ruamrudee International School (RIS)
      2. Bangkok Pattana International School
      3. International Community School of Bangkok (ICS)
      4.  New International School of Thailand (NIST)
      5.  KIS International School (KIS)
      6. Keerapat International School
      7. Thai-Chinese International School
      8. Harrow International School


 ศูนย์สอบในต่างจังหวัด
      1. Pream Tinsulanonda International School (Pream)
      2. Chiang Mai International School (CMIS)
      3. International School Eastern Seaboard (Burapha Golf Club)
      4. British International School, Phuket (BIS)
      5. Lanna International School in Chinag Mai

สิ่งที่ควรรู้เกี่ยวกับ SAT

(1)   SAT ประกอบด้วย 3 ส่วนคือ Mathematics, Critical Reading และ Writing แต่มหาวิทยาลัยส่วนใหญ่
          มักจะพิจารณาผลคะแนนเฉพาะ 2 ส่วนแรกเท่านั้น

(2)   ในการคิดคะแนน เมื่อตอบถูกจะได้ 1 คะแนน แต่หากตอบผิดจะถูกหัก 0.25 คะแนน โดยผู้เข้าสอบ
        สามารถเลือกไม่ตอบคำถามได้โดยจะได้ 0 คะแนนในข้อนั้น คะแนนในส่วนนี้เรียกว่า Raw Score
        โดยจะถูกนำไปแปลงค่าเป็น Scaled Score ต่อไป (คะแนนเต็มของ Scaled Score คือ 800 คะแนน
        ในแต่ละส่วน)

(3)   SAT เป็นข้อสอบที่ฝึกการคิดและตอบคำถามให้เร็วและถูกต้อง ดังนั้นเวลาเฉลี่ยในการตอบคำถาม
        แต่ละข้อจึงอยู่ระหว่าง 43-83 วินาทีเท่านั้น

(4)   เมื่อกล่าวถึง SAT โดยทั่วไปมักหมายถึง "SAT I" หรือชื่ออย่างเป็นทางการคือ "SAT Reasoning Test"
        ส่วน SAT II นั้นมีชื่ออย่างเป็นทางการว่า "SAT Subject Tests"

(5)   การสอบ SAT เป็นการสอบแบบ Paper-based Test หรือการฝนคำตอบลงบนกระดาษคำตอบนั่นเอง
        ยกเว้นบางข้อของ Mathematics ที่ใช้วิธี "grid-in" หรือเขียนคำตอบลงในกระดาษคำตอบด้วย

(6)   จากข้อมูลของ College Board คะแนนเฉลี่ยในปี 2011 ของ Mathematics, Critical Reading
        และ Writing คือ 514, 497 และ 489 คะแนนตามลำดับ
(7)  คู่แข่งของการสอบ  SAT คือ นักเรียนที่เรียนหลักสูตรไทย และหลักสูตรนานาชาติ

ยื่นผลการสอบ SAT ได้ที่ไหนบ้าง
              หลังจากนักเรียนสอบผ่านแล้ว นักเรียนสามารถยื่นผลการสอบเพื่อเข้าศึกษาต่อในสถาบันชั้นนำ
ดังต่อไปนี้

- จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย
- มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์
- มหาวิทยาลัยมหิดล
- มหาวิทยาลัยอัสสัมชัญ
- University of Oxford
- University of Cambridge
- Massachusetts Institute of Technology (MIT)
- Brown University
- Boston University
- George Washington University
- University of Minnesota - Twin Cities
- Indiana University - Bloomington

วิธีการสมัครสอบ SAT แบบ Reasoning Test สำหรับเข้ามหาวิทยาลัยโปรแกรมภาคภาษาอังกฤษในประเทศไทย  มีขั้นตอนดังนี้
             1. เข้าไปที่ http://www.collegeboard.com/student/testing/sat/about.html  แล้วคลิกที่ Register Now
(
อยู่ประมาณกลางหน้าจอ )

             2. ในหน้า Sign In                - สำหรับผู้ที่ยังไม่เคยสมัครสอบ SAT มาก่อน จะต้องทำการลงทะเบียนสมาชิก เพื่อที่จะต้องเป็นสมาชิกก่อนที่จะเลือกวันและเวลาสอบได้ ให้ไปตรงที่ Not a Member Yet? แลัวคลิกตรงคำว่า Sign Up แล้วกรอกข้อมูลเพื่อ
ที่จะทำการลงทะเบียนเป็นสมาชิกให้ถูกต้องและครบถ้วน
             - สำหรับผู้ที่เคยเป็นสมาชิกอยู่แล้วให้ใส่ Username และ Password แล้วคลิกที่ Sign In
 
            3. เมื่อ  Sign In เข้ามาแล้ว ในหน้า MY SAT สามารถทำดูและทำรายละเอียดต่างๆได้
            - สำหรับผู้ที่ต้องการลงทะเบียนสมัครสอบ ให้ไปตรงหัวข้อ MY TEST REGISTRATIONS แล้วคลิกที่ REGISTER FOR A TEST               ส่วนหัวข้อ MY SCORES* หน้านี่จะแสดงคะแนนสอบของเราในแต่ละครั้ง และ ยังแสดงคะเเนนของแต่ละส่วนของข้อสอบ
สามารถที่จะกด print out ออกมาดูเล่นเองก็ได้ หรือ ถ้าจะต้องการส่งเอกสารคะแนนสอบโดยตรงจากศูนย์สอบไปยัง
มหาวิทยาลัยที่เราสมัครก็สามารถทำได้ โดยคลิกได้ที่ SEND SCORES TO COLLEGES (เพราะว่าบางมหาวิทยาลัยจะต้องได้รับจดหมายคะแนนสอบโดยตรงจากศูนย์สอบเท่านั้น)
 
                4. สำหรับผู้ที่สมัครสอบ
ในหน้า MY SAT®: GETTING STARTED
เขาจะอธิบายให้เราจะต้องเตรียมข้อมูลเพื่อลดเวลาในการลงทะเบียน
ส่วนแรก เขาจะให้เราเตรียมตัวกับคำถามที่เขาจะถาม
ส่วนที่สอง เขาจะให้เราเตรียมข้อมูลของ บัตรเครดิต
แล้วถ้าเราเตรียมเสร็จแล้วให้คลิกที่ Begin

5. ในหน้า MY SAT: MY PROFILE
ก่อนที่จะทำเราจะต้องเข้าใจว่าจะต้องตอบเป็นข้อมูลจริง เพราะอาจจะมีการให้ข้อมูลของเรากับมหาวิทยาลัยที่เราสมัครก็ได้
เมื่อเราตอบคำถามเสร็จแล้วให้คลิกที่ SAVE AND CONTINUE

6. ในหน้า MY SAT : SAT REGISTERATION
ในหน้านี้เราได้ทำการตอบคำถามในส่วนที่หนึ่งเสร็จแล้วแล้วตอนนี้ให้เราไปทำส่วนที่สอง
ซึ่งในส่วนที่สองจะต้องทำการ เลือกวันที่สอบ เลือกสถานที่สอบ สถานที่ที่จะส่งคะแนน และสิ่งที่เกี่ยวกับคะแนน อย่างเช่นจะส่งไปให้มหาวิยาลัยไหนโดยตรง
ถ้าเราพร้อมเเล้วให้คลิกที่ Begin

7. ในหน้า MY SAT: TERMS AND CONDITIONS
ก่อนที่เราจะกดตกลงเราควรจะอ่าน terms and conditions ของทางศูนย์สอบก่อนเพื่อเราจะได้ทำความเข้าใจ เวลามีปัญหาจะได้แก้ไขได้
ถ้าตกลงให้คลิกที่ข้างหน้า I agree to the SAT Terms and Conditions above.
ถ้าไม่ตกลงให้คลิกข้างหน้าคำว่า I do not agree to these Terms amd Conditions. Cancel this registration
แล้วคลิกที่ Save and Continue เพื่อดำเนินการสมัครต่อ

8. ในหน้า MY SAT : SAT REGISTERATION
TEST SERVICES : STEP 1 OF 8

ในหัวข้อ TEST & TEST CENTER LOCATION

Select your test:
อันนี้เราจะต้องเลือก Reasoning Test หรือ SAT I โดยการ
คลิกข้างหน้า SAT Reasoning Test (formerly known as SAT I)

Select your test center location:
อันนี้ให้เลือกที่ Outside the U.S. โดยการ
คลิกข้างหน้า Outside the U.S.

YOUR HIGH SCHOOL
เลือกชั้นปีที่เราเรียนอยู่
เช่นถ้าอยู่ ม.6 --> 12th grade
ส่วนหัวข้อ For Students with Disabilities และ For Students Using a Fee Waiver
ให้ใส่คลิกข้างหน้า No

ถ้าเลือกเสร็จแล้วให้คลิกที่ Save & Continue

9. ในหน้า MY SAT : SAT REGISTERATION
TEST SERVICES : STEP 2 OF 8
เลือกวันที่สอบให้เรา คลิกหน้าวันที่ที่เราจะสอบ
ถ้าเลือกเสร็จแล้วให้คลิกที่ Save & Continue

10.ในหน้า MY SAT : SAT REGISTERATION
TEST SERVICES : STEP 3 OF 8

QUESTION-AND-ANSWER SERVICE (QAS)
ในหน้านี้เขาจะถามเราว่าเราต้องการที่จะรับข้อสอบที่เราทำพร้อมเฉลยรึเปล่า
ถ้าเราต้องการเขาจะคิดเงินประมาณ $18.00 (ข้อสอบจะส่งมาให้ที่อยู่ที่เราระบุประมาณ 6-8 สัปดาห์หลังสอบ) ให้เราคลิกข้างหน้า Yes,
ถ้าเราไม่เอาก็คลิกข้างหน้า No,

ถ้าเลือกเสร็จแล้วให้คลิกที่ Save & Continue

11.ในหน้า MY SAT : SAT REGISTERATION
TEST SERVICES : STEP 4 OF 8

TEST CENTERS:
ขั้นแรก: เลือกที่สถานที่จะสอบอันดับเเรก
ให้คลิกที่ Search for a test center.
จะมีหน้าต่างใหม่ขึ้นมาอันหนึ่งแล้วจะให้เราเลือก
NAME , Country: ให้เราเลือกประเทศไทยอย่างเดี่ยวก็ได้แล้วคลิกที่ Search
พอกดเสร็จแล้วจะมี SEARCH RESULTS ขึ้นมาพร้อมกับสถานที่สอบทั้งหมดในประเทศไทย
อันนี้เราก็หาสถานที่สอบที่เราพอใจแล้วคลิกไปที่ชื่อสถานที่สอบอันนั้นเพื่อให้เกิดแถบสีน้ำเงินขึ้นมาแล้ว
คลิกที่ Add

ขั้นที่สอง: เลือกที่สถานที่จะสอบอันดับที่สอง
ทำเหมือนกับขั้นแรก
ขั้นนี้เลือกเอาไว้เป็นสถานที่สำรองของเราถ้าสถานที่อันดับแรกเต็ม

ถ้าเลือกเสร็จแล้วให้คลิกที่ Save & Continue

12.ในหน้า MY SAT : SAT REGISTERATION
SEND SCORES : STEP 5 OF 8

สามารถส่งได้ถึง 8 แห่งจะฟรีสำหรับ 4 แห่งเเรกเท่านั้นส่วน 4 แห่งหลังจะต้องเสียเงินต่อแห่งประมาณ $9.50
เลือกสถานที่ที่จะรับโดยกดที่ Add แล้วจะขึ้นหน้าต่างใหม่ขึ้นมาให้เราเลือกประเทศไทยแล้วคลิกที่ SEARCH
พอคลิกเสร็จแล้วจะขึ้น Search Result จะมีรายชื่อของมหาวิทยาลัยขึ้นมาครับ
อันนี้ขึ้นอยู่กับมหาวิทยาลัยว่าเขาจะต้องให้เราส่งคะแนนไปที่คณะของมหาวิทยาลัยที่เราสมัครโดยตรงจากศูนย์สอบรึเปล่า
ไม่จำเป็นจะต้องเลือกส่งทั้ง 4 อันแรกครับ

ถ้าเลือกเสร็จแล้วให้คลิกที่ Save & Continue


12. ในหน้า MY SAT : SAT REGISTERATION
RESOURCES : STEP 6 OF 8

เขาจะถามว่าเราจะต้องการซื้อหนังสือของเขารึเปล่า
ถ้าต้องการก็คลิกหน้า add to order ของแต่ละเล่มที่เราต้องการ

ถ้าเลือกเสร็จแล้วให้คลิกที่ Save & Continue


13. ในหน้า MY SAT : SAT REGISTERATION
FINAL REVIEW : STEP 7 OF 8

หน้านี้จะต้องให้ความสำคัญอย่างมากเพราะว่าเป็นหน้าที่เราจะต้องตรวจสอบว่า
รายละเอียดที่เราใส่เข้าไปนั้นครบและถูกต้องมากน้อยแค่ไหน
และหน้านี้ยังเป็นหน้าที่เราจะต้องจ่ายเงินทางศูนย์สอบโดยจ่ายทางบัครเครดิต
และเมื่อเราได้ตรวจสอบรายละเอียดและลงข้อมูลของบัตรเครดิตอย่างดีแล้ว
ก็ให้คลิกที่ Sunmit Payment ก็คือจ่ายเงินนั้นเอง

14. ในหน้าสุดท้ายคือหน้า ADMISSION TICKET
จะเป็นหน้าแสดงบัตรสอบและเราจะต้องพิมพ์บัตรออกมาเพื่อเอาไปแสดงในวันสอบพร้อมบัตรประจำตัวประชาชน หรือ หนังสือเดินทางก็ได้

ในวันสอบเราสามารถเอาเครื่องคิดเลขเข้าห้องสอบเพื่อทำส่วนคณิตศาสตร์ได้

  

วันอังคารที่ 15 มกราคม พ.ศ. 2556

เรียนอย่างไรให้เก่งคณิตศาสตร์


          นักเรียน หลายคนอยากจะเรียนเก่ง เพราะการเรียนเก่ง ย่อมได้รับการชื่นชมจากพ่อแม่ ครู-อาจารย์ หรือ เพื่อน ๆ นักเรียนบางคนเรียนเก่งมาตั้งแต่กำเนิด เรียกว่า ทำบุญมาดี หรือ พระเจ้าประทานพรมาให้  แต่ไม่ว่า นักเรียนคนใด จะเรียนเก่ง หรือไม่เก่งมาตั้งแต่กำเนิด ก็ไม่ใช่สิ่งที่นักเรียน จะนำมาเป็นข้ออ้าง ในการ ไม่ตั้งใจเรียน เพราะการเรียนเก่งนั้น มีองค์ประกอบหลายอย่าง ที่นักเรียนทุกคนสามารถที่จะเรียนรู้กันได้

หลักการเพิ่มประสิทธิภาพการเรียนหนังสือ
6 ประการ ซึ่งมีผู้นำไปปฏิบัติแล้วได้ผลดีมีดังนี้
            1. สะสม(Gradual) เรียนอย่างค่อยเป็นค่อยไป สะสมวันละนิด ละหน่อย แต่ สะสมอย่างสม่ำเสมอ อย่า หักโหมตอนใกล้สอบอย่างเดียว
             2. ทำซํ้า( Repetition) ทบทวน ท่อง และทำแบบฝึกหัดซํ้า ๆ เช่นการ ทำโจทย์ ลักษณะเดียวกันหลาย ๆ ครั้ง
             3. ย้ำรางวัล(Reinforcement) คุณครู ผู้ปกครอง ควรให้รางวัลนักเรียน หรือ นักเรียนควรให้รางวัลตัวเองเมื่อ ทำงานสำเร็จในแต่ละครั้งเพื่อให้ขยันขึ้น เช่น ถ้านักเรียน สอบได้คะแนนดี ผู้ปกครอง อาจให้สิ่งของ เป็นรางวัล แต่ต้องสอนนักเรียนด้วย ว่า รางวัล เป็นเพียงส่วนหนึ่งเท่านั้น แต่สิ่งที่สำคัญที่สุดเมื่อนักเรียน ทำงานสำเร็จ ผู้ที่จะได้รับผลของ การทำงานสำเร็จ ก็คือตัวนักเรียนเอง ต้องบอกนักเรียนว่าครั้งต่อไป อาจไม่มีรางวัลให้นะ มิเช่นนั้นนักเรียน ก็อาจจะทำเพื่อหวังรางวัล ต่อไปเมื่อทำแล้ว ไม่ได้รางวัล ก็อาจจะเกิดความผิดหวังได้
            4. ขยันคิด(Active Learning) จงใส่ใจคิดตามบทเรียนเสมออย่าฟังหรืออ่านไปเรื่อย ๆ ต้องอ่าน เพื่อจับใจความสำคัญ และการคิดตามก็ทำให้ นักเรียนเกิด จิตนาการ ขึ้นมาได้
             5. ฟิตปฏิบัติ(Practice) ต้องลงมือปฏิบัติให้เกิดความชำนาญไม่ใช่รู้แต่ทฤษฏีอย่างเดียว การลงมือปฏิบัติจริงจะทำให้จำแม่นยำเกิดการถ่ายโยงความ จำระยะสั้นให้เป็นความจำระยะยาว เพราะ สิบการเห็น ไม่เท่ากับหนึ่งมือคลำ
หมายถึง การได้ลงมือปฎิบัติ ย่อมจะได้ผลดีกว่า การได้ดูเพียง อย่างเดียว
             6. หาทางบังคับตัวเอง (Stimulus Control) โดยอาศัยการจัดสิ่งแวดล้อมเป็นตัวเร่งและกระตุ้น เช่น มีโต๊ะในการเขียนหนังสือ มีห้องที่เงียบเพื่อจะได้มีสมาธิ ในการทำ การบ้าน หรือ การอ่านหนังสือ

              จากหลักการเพิ่มประสิทธิภาพการเรียน 6 ประการดังกล่าว ถ้านักเรียนนำไปปฏิบัติอย่างจริงจัง นักเรียนก็จะประสบผลสำเร็จ อย่างแน่นอน
--------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------

การปฏิบัติตนของการเป็นผู้เรียนที่ดี

              1. คิดตาม หมายถึง ติดตามการสอนของครู แบบตั้งใจ ไม่คุยกัน หรือปล่อยจิตใจให้เหม่อลอย คิดไปถึงเรื่องอื่น ๆ
ที่ไม่เกี่ยวข้องกับบทเรียน
               2. ถาม หมายถึง ถ้าไม่เข้าใจตรงส่วนไหน ก็ต้องถามครู เพื่อครูจะได้อธิบายให้ฟัง  ครูที่ดีจะชอบให้นักเรียนถามเสมอ  ขณะที่ครูอธิบายก็ต้องตั้งใจฟัง และนักเรียนต้องหลีกเลี่ยงการถามเพื่อลองภูมิความรู้ของครู หรือถามในสิ่งที่นักเรียนรู้คำตอบอยู่แล้ว เพราะ จะทำให้เสียเวลา และเป็นการไม่ให้ความเคารพคุณครูด้วย
               3. จด การจด จะทำให้ง่ายต่อการมาทบทวนในภายหลัง เพราะคุณครู จะไม่ได้อยู่ให้นักเรียนถามตลอดเวลา นักเรียนต้องจดไว้เอง
               4. ทบทวน จัดเวลาสำหรับทบทวนสิ่งที่เรียนมา หรืออ่านล่วงหน้าในเนื้อหาที่จะเรียนต่อไป และถ้าปฏิบัติตามที่กำหนดได้ควรให้รางวัลตัวเอง เช่น ได้ขนม ได้เล่น ได้ฟังเพลง ดูทีวี ได้ออกกำลัง เป็นต้น ถ้าทำไม่ได้ตามกำหนดควรหาเวลาชดเชย
               5. แบ่งปัน โดยการท่องหนังสือกับเพื่อน อย่าหวงวิชา แบ่งปันความรู้อธิบายให้กันและกัน อย่าช่วยเหลือเพื่อนในทางที่ผิด เช่น ทุจริตเวลาสอบ หรือให้ลอกงาน โดยไม่ได้อธิบาย
               6. หาความรู้เพิ่มเติม การหาความรู้จากแหล่งอื่นนอกเหนือจากครู เช่น การศึกษาจาก Internet  ห้องสมุด การศึกษาด้วยตนเองต้องใช้สมาธิมาก ต้องทำ ความเข้าใจจดสาระสำคัญต่าง ๆ ลงในโน้ตย่อ จดสิ่งที่ไม่เข้าใจไว้ค้นคว้าต่อไป

                 นักเรียนลองนำไปเป็นแนว ปฎิบติกันดู รับรองว่า ผลการเรียนของนักเรียน จะดีขึ้นอย่าแน่นอน

 --------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------
  
ทำอย่างไรถึงจะจำได้ดี
                 จากการศึกษาของนักจิตวิทยาเกี่ยวกับการจำการลืมของมนุษย์พบว่า คนเรามีอัตราการจำหรือลืมดังนี้
                เมื่อเวลาผ่านไป หนึ่งวัน คนเราจะจำเรื่องราวที่ตนอ่านไปได้ประมาณ 50% และลดลงไปอีกครึ่งหนึ่งทุก ๆ 7 วัน จนในที่สุด จะนึกไม่ออกเลยเมื่อผ่านไป 21 วัน
                 ทางแก้การลืมความรู้ก็คือไปทบทวนทันทีที่เราเรียนในแต่ละ วันเพื่อมิให้เกิน 24 ชั่วโมง จากนั้นเราทิ้งช่วงไปทบทวนรวบยอดในวันหยุด เสาร์ อาทิตย์ เพื่อมิให้เกิน 7 วัน ทุกวันหยุดสุดสัปดาห์จะทบทวนสิ่งที่เรียนมาทั้งสัปดาห์ เนื่องจากแต่ละวันความรู้จะพอกพูนขึ้นไปเรื่อย ๆ เราควรทำโน้ตย่อและทบทวนจากโน้ตย่อสาระสำคัญ จะช่วยให้เราเสียเวลาทบทวนน้อยลง

---------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------
 ทำไมต้องเรียนคณิตศาสตร์
               วิชาคณิตศาสตร์คงเป็นหนึ่งในวิชาที่ทำให้หลายคนต้องปวดขมับ 
เป้า หมายสูงสุดของการเรียนคณิตศาสตร์ก็คือ การนำไปใช้ในชีวิตประจำวัน และการนำไปใช้เป็นพื้นฐานการศึกษาวิชาชีพ ต่างๆ หลายคนอาจสงสัยว่า ไม่เห็นต้องเรียนคณิตศาสตร์มากนัก บวก ลบ คูณ หาร เพราะเรามีเครื่องคิดเลขใช้แล้ว นับว่า เป็นความเข้าใจผิด คณิตศาสตร์มิใช่เพียงต้องให้คิดคำนวณเกี่ยวกับตัวเลขเท่านั้น เช่น ความสามารถในการให้เหตุผล ความสามารถในการคาดเดา และความสามารถในการนำความรู้ไปใช้แก้ปัญหา

เรียนคณิตศาสตร์อย่างไรให้ได้ดี
                การจะเรียนคณิตศาสตร์ให้ดี ก่อนอื่นเราต้องเริ่มฝึกฝนการเป็นผู้เรียนที่ดีเวลาฟังครู หรือเวลาอ่าน ต้อง คิด ถาม จด ถ้าไม่เข้าใจควรจดคำถามไว้เพื่อคิดค้นคว้า หรือถามผู้รู้ต่อไปหมั่นดูหนังสือหรือทำการบ้านอย่างมีประสิทธิภาพ ควรหามุมอ่านหรือทำการบ้าน จัดเวลาสำหรับทบทวนสิ่งที่เรียนมา หรืออ่านล่วงหน้าสิ่งที่จะเรียนต่อไป และถ้าปฏิบัติตามที่กำหนดได้ควรให้รางวัลตัวเอง เช่น ได้ขนม ได้เล่น ได้ฟังเพลง ดูทีวี ได้เล่นกีฬา เป็นต้น 
               ถ้าทำไม่ได้ตามกำหนดควรหาเวลาชดเชย ทบทวน ความรู้กับเพื่อน อย่าหวงวิชา แบ่งปันความรู้อธิบายให้กันและกัน อย่าช่วยเหลือเพื่อนในทางที่ผิด เช่น ทุจริตเวลาสอบ หรือให้ลอกงานโดยไม่เข้าใจ ศึกษา ด้วยตนเอง มิใช่ต้องเรียนจากครูเพียงอย่างเดียว การศึกษาด้วยตนเองจากตำราหลายๆ เล่ม ต้องทำความเข้าใจจดสาระสำคัญต่างๆ ลงในโน้ตย่อ จดสิ่งที่ไม่เข้าใจไว้ค้นคว้าต่อไป ถ้าต้องการเชี่ยวชาญคณิตศาสตร์ ต้องหมั่นหาโจทย์แปลกใหม่มาทำมากๆ เช่นโจทย์แข่งขัน
              ศึกษา เพิ่มเติม จาก Youtube หรือ หาอ่าน จากเว็บไซต์ ทาง Imternet